สี่วิธีในการลดแรงต้านการซื้อสินค้าที่ร้านค้าของคุณ
ร้านค้าของคุณเป็นสถานที่ที่นักช้อปของ Amazon จะเข้าไปสำรวจ โต้ตอบ และเลือกซื้อจากแบรนด์ของคุณดังนั้นลูกค้าควรจะสามารถค้นหาและซื้อสินค้าที่ ร้านค้า ของคุณได้ง่ายที่สุด คอนเวอร์ชันจะเกิดขึ้นเมื่อผู้เข้าชมร้านค้าของคุณซื้อสินค้าต่างๆ ผู้เข้าชมรายนี้อาจสนใจและตั้งใจจะซื้อสินค้าของคุณอยู่แล้ว หรืออาจไม่เคยทราบเกี่ยวกับแบรนด์และสินค้าของคุณ แต่กลายเป็นนักช้อปที่สนใจในขณะที่กำลังสำรวจร้านค้าของคุณ จากผลการวิจัยโดย Statistica ในเดือนมีนาคม 2020 ในสหรัฐอเมริกาพบว่า 88% ของคำสั่งซื้อออนไลน์ถูกละทิ้งไป 1 —กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นการซื้อ การแนะแนวทางให้แก่นักช้อปของคุณตั้งแต่ขั้นตอนการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ไปจนถึงขั้นตอนการซื้อในขั้นสุดท้ายควรเป็นเรื่องง่าย ตรงไปตรงมา และใช้งานง่าย
แล้วสิ่งใดล่ะที่ทำให้เกิดแรงต้านการซื้อสินค้า
แรงต้านการซื้อสินค้าเกิดขึ้นเมื่อนักช้อปหยุดชะงักอยู่ระหว่างขั้นตอนการรับรู้และขั้นตอนการซื้อ สถานการณ์หนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในร้านค้าคือ หน้าเว็บโหลดช้าหรือไปยังหน้าการซื้อสินค้าจากหน้าร้านค้าไม่ได้ อุปสรรคต่างๆ อาจเป็นรูปแบบที่รกตาหรือแออัด มีข้อความโฆษณามากเกินไป โครงสร้างร้านแและการนำทางที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรืออื่น ๆ การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับร้านค้าของคุณเพื่อลดแรงต้านการซื้อสินค้าสามารถช่วยสร้างความไว้วางใจจากนักช้อปได้อีกด้วย รวมถึงส่งผลในเชิงบวกต่อยอดขายที่กำหนดแอตทริบิวต์มาจากร้านค้าของคุณ
สี่วิธีในการลดแรงต้านการซื้อสินค้าที่ร้านของคุณมีดังนี้
1. ปรับปรุงโครงสร้างร้านค้าของคุณโดยทำให้การนำทางเป็นเรื่องง่ายขึ้น:
การนำทางเป็นวิธีที่นักช้อปจะสามารถสำรวจร้านค้าและค้นหาและซื้อสินค้าได้ การนำทางที่ง่ายและเป็นขั้นตอนจะช่วยสร้างประสบการณ์โดยรวมที่ดีให้กับผู้ซื้อ
ลองมาดูแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดบางประการสำหรับการนำทางที่ง่ายขึ้นในร้านค้าของคุณ
เมนู/แถบตัวช่วยนำทาง:
โครงสร้างของเมนูนำทางเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักช้อปสามารถสำรวจร้านค้าได้ การทำให้มันเรียบง่ายและคงเส้นคงวาคือกุญแจสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น หากใช้ชื่อสั้นๆสำหรับหน้าเว็บ (ป้ายกำกับ) เช่น “โดนัท” จะเป็นการประหยัดพื้นที่และเป็นมิตรกับลูกค้ามากกว่าชื่อยาวๆที่ต้องการสื่อความ เช่น “โดนัทเคลือบน้ำตาลอร่อย”

ตัวอย่างเมนูนำทางในร้านค้า
เมนูนำทางในร้านค้าบนเดสก์ท็อปและบนมือถือมีลักษณะต่างกัน บนเดสก์ท็อป นักช้อปจะเห็นหลายแท็บบนแถบตัวช่วยนำทาง บนมือถือ นักช้อปจะเห็นเมนูแบบเลื่อนลงเพียงรายการเดียว นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อต้องการเน้นหมวดหมู่ยอดนิยมของคุณในร้านค้า การจัดวางหน้าเว็บยอดนิยมไว้ในเมนูเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ดี แต่คุณยังสามารถจัดวางไทล์หมวดหมู่ไว้ในหน้าโฮมเพจได้เช่นกัน เช่น รูปภาพหรือไทล์ข้อความที่นำไปสู่หน้าเว็บยอดนิยมดังกล่าว การเพิ่มไทล์เหล่านี้ไปยังด้านบนของหน้าโฮมเพจพร้อมกับคำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้นักช้อปสามารถมองเห็นเนื้อหาสำคัญที่สุดของคุณได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ขยายเมนูแบบเลื่อนลงบนมือถือก็ตาม
โฮมเพจ
ร้านค้าของคุณเปรียบเสมือนบ้านสำหรับแบรนด์ของคุณบน Amazon ซึ่งคุณสามารถแสดงสินค้าทั้งหมดได้ในที่เดียว สิ่งสำคัญคือ ทำให้เรื่องราวและค่านิยมของแบรนด์มีความโดดเด่นในหน้าโฮมเพจ เนื่องจากนักช้อปจำนวนมากที่เข้าชมร้านค้าอาจโต้ตอบกับแบรนด์ของคุณเป็นครั้งแรก โฮมเพจในอุดมคติมีลักษณะดังต่อไปนี้:
- รูปภาพส่วนหัว: ประกอบด้วยชื่อ/โลโก้ของแบรนด์และแท็กไลน์ของแบรนด์ (หากมี) ซึ่งมีองค์ประกอบของการออกแบบที่จะช่วยเสริมเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ คุณยังสามารถใส่รูปภาพสินค้าฮีโร่หรือรูปภาพไลฟ์สไตล์ที่แสดงถึงสินค้าของคุณ รูปภาพส่วนหัวเป็นภาพแรกของร้านค้าที่นักช้อปจะเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่เคยทราบเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณมาก่อน
- USP (ข้อเสนอการขายที่ไม่ซ้ำกัน): หมายถึง ประโยชน์อันโดดเด่นที่แบรนด์ของคุณมอบให้ ซึ่งจะช่วยให้นักช้อปเข้าใจวัตถุประสงค์ของแบรนด์และการนำเสนอสินค้าของคุณ USP ของคุณควรจะอยู่ในหน้าโฮมเพจเพื่อให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ดูเคล็ดลับยอดนิยมสำหรับการสร้างข้อความโฆษณาของร้านค้า ›
- หมวดหมู่ไทล์: รูปภาพหรือไทล์ข้อความที่นำไปสู่หมวดหมู่สินค้า (หน้า) ต่างๆของร้านค้า
- ไทล์ผลิตภัณฑ์และการแบ่งสินค้า: การเพิ่มวิดเจ็ตสินค้าไปยังหน้าโฮมเพจช่วยให้นักช้อปมีโอกาสดูและเลือกซื้อสินค้าขายดีที่สุดของแบรนด์โดยตรงจากหน้าโฮมเพจ
- วิดีโอและรูปภาพที่สามารถช้อปได้: เหล่านี้เป็นส่วนประกอบแบบไดนามิกเพื่อการมีส่วนร่วมซึ่งช่วยในการปรับปรุงการออกแบบร้านค้าของคุณ มันยังช่วยให้ลูกค้าสนใจแบรนด์และการนำเสนอสินค้าของคุณ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม 2020 เราพบว่าร้านค้าที่มีรูปภาพและวิดีโออย่างน้อยหนึ่งรายการมีระยะเวลาที่นักช้อปเข้าชมโดยเฉลี่ยสูงขึ้น 26.8% เมื่อเทียบกับร้านค้าที่ไม่มีวิดีโอหรือรูปภาพอย่างน้อยหนึ่งรายการ

ตัวอย่างโฮมเพจของร้านค้า
หน้า
- โดยเฉลี่ยแล้วร้านค้าที่มี 3 หน้าขึ้นไปมีระยะเวลาที่นักช้อปเข้าชมสูงขึ้น 83% และมียอดขายที่มีโฆษณาประกอบสูงขึ้น 32% ต่อผู้เข้าชม 3 คุณสามารถจัดระเบียบร้านค้าให้เป็นหน้าๆแยกตามหมวดหมู่ของสินค้าที่แบรนด์ขายได้ ร้านค้าที่ดูรกตาและสินค้าไม่เป็นระเบียบอาจทำให้นักช้อปเกิดความสับสนได้
- สามารถเข้าถึงหน้าร้านค้าจากเมนูนำทางได้ และยังสามารถเข้าถึงหน้าร้านค้าจากหน้าโฮมเพจได้เช่นกัน ซึ่งมีลักษณะเป็น ไทล์หมวดหมู่ ที่แยกอิสระเพื่อส่งเสริมการนำทางโดยรวมที่ดีกว่า

ตัวอย่างชื่อหมวดหมู่
หน้าย่อย
- หากในหน้าเว็บมีหน้าย่อยก็ควรออกแบบให้เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังหน้าย่อยโดยผ่านทาง ไทล์หมวดหมู่ย่อย ที่แยกอิสระ ยังสามารถเข้าถึงหน้าย่อยจากเมนูนำทางได้เช่นกัน

ตัวอย่างไทล์หมวดหมู่ย่อย
- หน้าย่อยอาจเป็นการเน้นสินค้าและแสดงไทล์ผลิตภัณฑ์หรือการแบ่งสินค้า หากมีสินค้าน้อยกว่า 5 รายการ ให้พิจารณาใช้ไทล์เฉพาะสินค้าแทนการแบ่งสินค้า (ภาพประกอบอยู่ด้านบน)
- หน้าย่อยยังสามารถมีรูปภาพ ข้อความ หรือวิดีโอที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหมวดหมู่สินค้า ในกรณีที่หน้าย่อยมีสินค้าเพียงรายการเดียว เนื้อหาดังกล่าวอาจเป็นการชี้แจงให้นักช้อปทราบเกี่ยวกับคุณลักษณะหรือประโยชน์ของสินค้า
2. เพิ่มสินค้าหลักโดยใช้วิดเจ็ตสินค้า
ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม 2020 เราพบว่าร้านค้าที่มียอดขายดีของ ASINS มีระยะเวลาที่นักช้อปเข้าชมโดยเฉลี่ยสูงขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับร้านค้าที่ไม่มีสินค้าขายดีที่สุด 4 ดังนั้นเมื่อคุณได้ตัดสินใจเลือกหน้าเว็บที่ต้องการจะเพิ่มสินค้าแล้ว ให้เริ่มเพิ่มสินค้าเข้าไปในร้านค้าของคุณโดยใช้ส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสินค้าดังต่อไปนี้:
- การแบ่งสินค้า เป็นวิธีที่หลากหลายและรวดเร็วในการแสดงรายการสินค้าทั้งหมดที่มีอยู่ในหมวดหมู่สินค้า (ในหน้าเว็บและหน้าย่อย) นอกจากนี้ คุณยังสามารถใส่ข้อมูลการแบ่งสินค้าไว้ในหน้าโฮมเพจได้เช่นกัน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเลือกสินค้าขายดีที่สุดเพื่อแสดงให้เห็นเด่นชัด และช่วยให้นักช้อปสามารถซื้อสินค้าได้โดยตรงจากโฮมเพจด้วย ฟังก์ชันเพิ่มไปยังรถเข็น จำนวนสินค้าที่แนะนำสำหรับการแบ่งสินค้าในหน้าโฮมเพจคือ แปดรายการ หากเพิ่มสินค้าอีกจะเป็นการบังคับให้นักช้อปต้องเลื่อนลงหลายครั้งในหน้าเว็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเวอร์ชันมือถือของร้านค้า ซึ่งอาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่อยากที่จะสำรวจดูหน้าโฮมเพจทั่วทั้งหน้า
ใช้ตัวเลือก “ซ่อนสินค้าสต็อก” (สินค้าที่ไม่พร้อมใช้งานจะถูกซ่อนโดยอัตโนมัติเพื่อไม่ให้นักช้อปสามารถมองเห็นได้) เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่ดี นักช้อปที่ดูการแบ่งสินค้าจะเห็นตัวเลือก “ดูอย่างรวดเร็ว” เพื่อดูคุณลักษณะพื้นฐานของสินค้า เช่น รูปภาพ ราคา การจัดอันดับคะแนน และความพร้อมใช้งาน Prime โดยจะสามารถเลือกรูปแบบสินค้า เพิ่มไปยังรถเข็น หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมในหน้ารายละเอียดได้

ตัวอย่างการแบ่งสินค้า
- สามารถเพิ่ม วิดเจ็ตข้อเสนอพิเศษ เข้าไปในร้านค้าเพื่อให้นักช้อปสามารถค้นหาและซื้อสินค้าของคุณได้อย่างง่ายดายด้วยดีลที่ใช้งานอยู่ คุณสามารถเพิ่มรายการสินค้าที่คัดสรรได้ จากนั้นข้อเสนอพิเศษและความพร้อมใช้งานของสินค้าจะอัปเดตโดยอัตโนมัติ เราขอแนะนำให้ใส่วิดเจ็ตนี้ไว้ในหน้าเว็บที่แยกต่างหากสำหรับข้อเสนอต่างๆ
3. ได้รับความไว้วางใจจากเนื้อหาที่มีคุณภาพ
เนื้อหาที่มีคุณภาพและกระตุ้นการมีส่วนร่วมที่อยู่ในร้านค้าของคุณจะสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าและช่วยพรรณนาเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้แก่ลูกค้าได้ ลูกค้าที่มีความสนใจอาจได้รับแรงจูงใจในการซื้อสินค้าจากร้านค้าของคุณ เนื้อหาที่มีคุณภาพยังสามารถช่วยให้ลูกค้ารู้สึกไว้วางใจและมีความภักดีต่อแบรนด์ เคล็ดลับในการบรรลุเป้าหมายมีดังต่อไปนี้:
- มุ่งเน้นไปที่ งานโฆษณาที่มีคุณภาพสูงสำหรับแบรนด์ซึ่งได้รับการออกแบบอย่างมีรสนิยม ดูตัวอย่างของประสบการณ์ร้านค้าที่สมบูรณ์แบบที่: https://amazon.com/mdesign
- นักช้อปจะสำรวจร้านค้าของคุณบนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น แล็ปท็อป คอมพิวเตอร์ แท็บเลต และโทรศัพท์มือถือ ในปี 2021 การเข้าชมร้านค้า 69% เกิดขึ้นบนอุปกรณ์มือถือ 5 การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับมือถือจะทำให้นักช้อปบนมือถือได้รับประสบการณ์ลูกค้าโดยรวมที่ดีขึ้น ภายในโปรแกรมตัวสร้างร้านค้า ตอนนี้คุณสามารถสร้างมุมมองมือถือหรือเดสก์ท็อปของร้านค้าได้อย่างง่ายดาย และระบบจะสร้างร้านค้าเวอร์ชันหนึ่งสำหรับอุปกรณ์เครื่องอื่นโดยอัตโนมัติ ดูเคล็ดลับ 6 อย่างที่จะเพิ่มประสิทธิภาพร้านค้าของคุณบนมือถือ ›
- สร้างข้อความโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ ให้กับร้านค้าเพื่อช่วยให้คุณได้รับความไว้วางใจจากนักช้อป ข้อความอธิบายแบรนด์และสินค้าของคุณคือ กุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ใกล้ชิด ดูเคล็ดลับยอดนิยมสำหรับการสร้างข้อความโฆษณาของร้านค้า ›
- คุณสามารถสร้างประสบการณ์เกี่ยวกับแบรนด์ที่เสมอต้นเสมอปลายได้ด้วย แอสเซทของชิ้นงานโฆษณาใหม่ของเรา วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดเก็บ จัดระเบียบ และนำเนื้อหาแบรนด์กลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น โลโก้และรูปภาพ แอสเซทของชิ้นงานโฆษณาช่วยให้แบรนด์สามารถมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เสมอต้นเสมอปลายได้ เพียงแค่แสดงเนื้อหาแบรนด์ให้ทั่วถึงบน Amazon เรียนรู้เกี่ยวกับการอัพโหลดไฟล์ไปยังแอสเซทของชิ้นงานโฆษณา ›
- นอกจากนี้ คุณยังสามารถช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นโดยการเริ่มต้นด้วย โพสต์ (เบต้า) ร้านค้าของคุณจะแสดงโพสต์โดยอัตโนมัติ ทำให้นักช้อปมีโอกาสที่จะเปลี่ยนไปมาระหว่างการเรียกดูเนื้อหาที่สร้างแรงบันดาลใจและการเลือกซื้อสินค้าทั้งหมดของคุณ เพิ่มจำนวนผู้ติดตามโดยการโพสต์เนื้อหาที่กระตุ้นการมีส่วนร่วม เรียนรู้เกี่ยวกับโพสต์ ›
4. ปรับปรุงการออกแบบร้านค้าของคุณ
คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบของร้านค้าโดยใช้ส่วนประกอบต่างๆ เช่น วิดีโอ วิดีโอพื้นหลัง และรูปภาพที่สามารถช้อปได้ การใช้ส่วนประกอบแบบไดนามิกดังกล่าวสามารถทำให้ลูกค้าสนใจแบรนด์มากขึ้นและกระตุ้นให้พวกเขาซื้อสินค้าของคุณ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่ควรจดจำ:
- คุณสามารถใช้ วิดีโอ บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์เพื่อช่วยให้นักช้อปทราบถึงความเป็นมาของแบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ หรือให้รายละเอียดเรื่องอุดมคติและวิสัยทัศน์ของแบรนด์ วิดีโอยังสามารถช่วยอธิบายเกี่ยวกับคุณสมบัติของสินค้าหรือแนะนำสินค้าใหม่ ซึ่งช่วยให้นักช้อปสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าวิดีโอที่อยู่ในร้านค้านั้นมีคุณภาพสูง หากนักช้อปเลือกที่จะเล่นวิดีโอเหล่านั้นในโหมดเต็มหน้าจอก็ไม่ควรเห็นภาพเบลอ
- วิดีโอพื้นหลัง ทำงานอยู่ในพื้นหลัง วิดีโอเหล่านี้ไม่มีปุ่มเล่นและจะเล่นวนซ้ำโดยอัตโนมัติ สามารถใช้กลยุทธ์ในการจัดวางวิดีโอเหล่านี้เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าสนใจสโลแกนหรือ USP ของแบรนด์ หรือเพื่อเแสดงสินค้าหรือคุณลักษณะของสินค้าให้เกิดความประทับใจ

ตัวอย่างวิดีโอพื้นหลัง
- รูปภาพที่สามารถซื้อได้ คืออีกวิธีหนึ่งในการสร้างร้านค้าที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมมากขึ้น รูปภาพเหล่านี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักช้อปได้ เมื่อใช้รูปภาพไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายซึ่งแสดงให้เห็นสินค้าในบริบทที่แตกต่างกัน เมื่อนักช้อปคลิกจะมีกล่องสีอ่อนที่มีข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เช่น ชื่อสินค้า ราคา การให้คะแนนของลูกค้า และความพร้อมในการให้บริการ Prime ปรากฏขึ้นพร้อมกับ ปุ่มเพิ่มไปยังรถเข็น เพื่อการซื้อที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
- คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการออกแบบร้านค้าให้ประสบความสำเร็จคือ จุดโฟกัส หลีกเลี่ยงการออกแบบที่มากเกินไปและให้ความสำคัญกับน้ำหนักขององค์ประกอบต่างๆในภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าจุดโฟกัสอยู่ในที่ที่เหมาะสมและในเวลาที่เหมาะสม มีการโฟกัสไปที่สินค้าหรือข้อความที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ การออกแบบช่วยนำทางนักช้อปในระหว่างการเข้าชมร้านค้าหรือไม่
- สุดท้ายนี้ให้ หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดของข้อความโฆษณา เช่น การพิมพ์ผิดและการใช้ไวยากรณ์ผิด รวมถึงข้อผิดพลาดด้านการออกแบบ เช่น ใช้รูปภาพที่มีคุณภาพต่ำหรือเบลอและภาพที่ถูกครอบตัดอย่างไม่เหมาะสม ปัญหาเหล่านี้สามารถทำลายความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ของคุณได้
พร้อมที่จะสร้างหรือปรับปรุงประสิทธิภาพให้กับ ร้านค้า ของคุณเพื่อลดแรงต้านการซื้อสินค้าหรือยัง จัดการร้านค้าของคุณหรือ ลงทะเบียนตอนนี้ เพื่อเริ่มต้น
1 Statistica มีนาคม 2020 สหรัฐอเมริกา
2 ข้อมูลภายใน Amazon กรกฎาคม - ธันวาคม 2020
3 ภายใน Amazon พฤษภาคม 2020 การวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างร้านค้าที่มีมากกว่า 3 หน้าและร้านค้าที่มีน้อยกว่า 3 หน้า
4 ข้อมูลภายใน Amazon กรกฎาคม - ธันวาคม 2020
5 ข้อมูลภายใน Amazon WW 2021